www.chiangmaicoffee.com  
 
          
กลุ่มกาแฟอราบิก้าไทย
Thai Arabica Coffee Club
         


 
กาแฟเวียดนาม.2

     กาแฟ-อาหารเช้าของตาย เพราะอยู่ในโปรแกรมของโรงแรม ที่ฮอยอัน
 ก็เช่นกันไหนๆก็ของแถมอยู่แล้ว ประหยัดเงินเอาไว้ก่อน ออกไปเดินตลาด
 เช้าแล้วค่อยหาดื่มเอาบรรยากาศ อีกสักแก้วหนึ่ง
              

   ทิวทัศน์ท่าเรือหน้าตลาดเก่า ที่เมืองฮอยอันยามเช้า ก็จะมีเรือปลามาขึ้นท่าหน้าตลาด ริมท่าเรือก็จะมีถนนเรียบฝั่งโดยตลอด
 ก่อนถึงหน้าตลาดร้านกาแฟ และร้านเฝอ ก็จะตั้งเรียงรายไปตลอดเช่นกัน เราเตร่ไปเรื่อยๆและเลือกร้านพื้นบ้านเล็กๆที่มีสมาชิก
 นั่งกันหลายโต๊ะหน่อย แล้วสั่งกาแฟดำร้อนมาแก้วหนึ่ง เจ้าของร้านก็จะจัดมาวางให้ดังภาพ มีชุดกาแฟดำ ถ้วยน้ำตาล น้ำแข็ง
 ใกล้ๆกันก็มีแม่ค้า"แซนวิส บาเก็ด"ขนมปังฝรั่งเศสยัดไส้ กำลังจัดแจงบริการลูกค้า เราก็เลยสั่งมาชิมดู ทาด้วยมากาลีนที่ยัดไส้
 ด้วยผัก และหมูยอ อะไรๆมันก็อร่อย อยู่แล้วบรรยากาศแบบนี้.......


นี่แหละชุดกาแฟดำน้ำแข็ง


  ยังไงๆกาแฟพื้นบ้านเช้านี้มันต้องรสดีอยู่แล้ว.


 ฮอยอันเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ภาคกลางของประเทศเวียดนาม
 มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล อดีตเป็นเมืองท่าค้าขายของชาวจีน และ ญี่ปุ่น
 ซึ่งได้ทิ้งร่องรอยอารยะธรรม ด้วยอาคารบ้านเรือน ในย่านการค้าแต่อดีต
 เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไปเยือน เราลองข้ามไปอีกฝากหนึ่ง
 ของถนนเส้นกลางเมือง ที่มีอาคารร้านค้าเก่า สัมผัสภาพชีวิต - ผู้คนและ
 สิ่งก่อสร้างโบราณ...
   วัฒนธรรมการดื่มกาแฟของชาวเวียดนามที่มีอยู่นานแล้ว ก็ไม่แปลกที่หา
 ร้านกาแฟได้ทั่วทุกถนน ตรอกซอกมุมต่างๆในเมือง ดังภาพล่างร้านที่พัฒนา
 ขึ้นมาหน่อย(สำหรับร้านริมถนน) นอกจากกาแฟ แล้วก็มีของกิน ของใช้ บุหรี่
 ทั้งแม่ค้า ลูกค้า เปิดเสวนากันเป็นสภากาแฟข้างถนนนี่แหละ เป็นภาพมุม
 หนึ่งที่หาดูได้ยากในบ้านเรา.....

   หนึ่งอาทิตย์เต็ม ที่เราไปย่ำชิมกาแฟบ้านลุงโฮ มาเล่าสู่คอกาแฟจากฮานอย -เว้ และ ฮอยอัน
   น่าจะเป็นอันครบเครื่องในเรื่องกาแฟ
   ปัจจุบัน เวียดนามเป็นประเทศที่ผลิตกาแฟทุกชนิดส่งออกในตลาดโลกเป็นอันดับสองรองจากประเทศบราซิล กาแฟถูกนำมาปลูก
ในเวียดนามกว่า 100 ปีมาแล้ว และเป็นพืชหลักที่ส่งออกมาตั้งแต่ก่อนสงครามเวียดนาม โดยชาวฝรั่งเศสได้นำเข้ามาปลูกแถบบริเวณ
ที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ เมื่อปี ค.ศ.1857 จนปี ค.ศ.1910-1911 จึงได้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น จนถึง ปี ค.ศ.1975 หรือ พ.ศ. 2518 เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟทั้งประเทศรวมประมาณ 20,000 เฮกตาร์ หรือ 125,000 ไร่ ผลผลิตที่ได้เป็นเมล็ดกาแฟสด ประมาณ 5,000-7,000 ตัน จวบจนปัจจุบันประเทศเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟรวมทั้งสิ้นประมาณ 500,000 เฮกตาร์ หรือ
 3,125,000 ไร่ โดยพันธุ์หลักที่ปลูกคือพันธุ์โรบัสต้า
   ซึ่งให้ผลผลิตรวมทั้งสิ้นมากกว่า 700,000 ตัน ต่อปี จนทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเป็นอันดับหนึ่ง
ของโลก อาจกล่าวได้ว่าในระยะเวลาเพียงแค่ 30 ปี พื้นที่เพาะปลูกกาแฟของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 25 เท่า และผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง
100 เท่า กาแฟจึงเป็นพืชทองที่สร้างฐานะให้เกษตรกรเวียดนามร่ำรวยอย่างรวดเร็ว กาแฟพันธุ์โรบัสต้าเป็นกาแฟพันธุ์ที่ปลูกดูแลรักษาง่าย และให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์อะราบิก้า มีกาเฟอีนสูงกว่าพันธุ์อะราบิก้าถึงสองเท่า รสชาติเข้มนิยมทำเป็นกาแฟเอสเปสโซ่ กาแฟผงสำเร็จรูปพร้อมดื่ม และขนมหวานต่างๆ
  
ส่วนกาแฟพันธุ์อราบิก้าจะมีรสชาตินุ่มดีกว่า นิยมดื่มในรูปของกาแฟสด กาแฟที่บริโภคในโลกมาจากกาแฟสองพันธุ์นี้เท่านั้น คือร้อยละ 65 เป็นกาแฟพันธุ์อะราบิก้า และร้อยละ 35 เป็นกาแฟพันธุ์โรบัสต้า ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามพยายามที่จะส่งเสริมให้ปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้าให้มากขึ้นตามความเหมาะสมของพื้นที่ ทั้งนี้เพราะราคาสูงกว่าพันธุ์โรบัสต้า

ทำไม ประเทศเวียดนามจึงประสบผลสำเร็จ
ในการปลูกกาแฟ เหตุผลสนับสนุนมีด้วยกันหลายประการ คือ

    
1. มีภูมิอากาศที่เหมาะสม และดินที่ปลูกอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 กาแฟได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้เกษตรกรเพาะปลูกอย่างจริงจังในบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันตก ตอนกลางของประเทศ บริเวณจังหวัดดัคลัค (Dak Lak) ไคไล (Gia Lai) คอนตุม (KonTum) และลามดอง (Lam Dong) และบางจังหวัดในภาคใต้ เช่น จังหวัดดองไน (Dong Nai) บาเรีย หวุงเต่า (Ba Ria-Vung Tau) เบิ่นเฟื้อก (Binh Phuoc) และจังหวัดอื่นๆ รวมถึงจังหวัดชายฝั่งทะเลตอนกลางของประเทศด้วย ซึ่งดินมีลักษณะเป็นดินลูกรังสีแดง (basaltic red soil) ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงและดินชั้นบนมีความหนามาก กาแฟพันธุ์โรบัสต้าจึงเจริญงอกงามได้ดี และภูมิอากาศเป็นลักษณะอากาศร้อน มีความชื้นสูง โดยพื้นที่จะตรงกับประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดราชบุรีลงไปทางภาคใต้ และมีฤดูเพียง 2 ฤดู เช่น ภาคใต้ของประเทศไทย คือฤดูแล้งกับฤดูฝน ฤดูแล้งมีระยะเวลานาน 4-5 เดือน หรือบางปีอาจยาวนานถึง 6 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ซึ่งตรงกับช่วงระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลกาแฟพอดีไปจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่กาแฟเริ่มออกดอกใหม่ การเก็บเกี่ยวผลกาแฟในช่วงฤดูร้อนนับว่าเป็นโอกาสที่ดีของเกษตรกร เพราะมีแสงแดดดีเหมาะแก่การตากเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟแห้งเร็ว มีความเสียหายจากการเน่าหรือถูกเชื้อราทำลายน้อย เกษตรกรจึงได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องอบเมล็ดกาแฟ แต่ในขณะเดียวกันการแล้งที่ยาวนานนี้ก็มีผลกระทบต่อการออกดอกและการติดผลของเมล็ดกาแฟเช่นกัน ซึ่งเป็นผลที่ทำให้ผลผลิตที่ได้มีปริมาณไม่ค่อยสูงนัก แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเกษตรกรเวียดนามสามารถนำเอาระบบการให้น้ำมาใช้กับสวนกาแฟเพื่อแก้ปัญหาน้ำไม่เพียงพอในช่วงฤดูแล้งได้ และก็สามารถที่จะควบคุมการออกดอกและติดผลของกาแฟให้ได้ตามที่เกษตรกรต้องการอีกด้วย

ปัจจุบัน ด้วยการดูแลที่ดีและให้ปุ๋ยอย่างเพียงพอทำให้เกษตรกรเวียดนามได้ผลผลิตเมล็ดกาแฟ 3,000-4,000 กิโลกรัม หรืออาจถึง 5,000 กิโลกรัม ต่อเฮกตาร์ (480-800 กิโลกรัม ต่อไร่) ในบางพื้นที่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าภูมิอากาศบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันตกของประเทศเวียดนาม ที่ปลูกกาแฟมีลักษณะเป็นเนินหุบเขา อยู่เขตร้อนชื้น ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500-700 เมตร ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างช่วงเวลากลางวันและกลางคืนมาก ซึ่งมีผลทำให้ผลผลิตของเมล็ดกาแฟที่ได้มีคุณภาพดีและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ จนได้รับการเรียกขานกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่มีคุณภาพดีว่า "Buon Me Thuot" ซึ่งหมายถึงชื่อเมืองที่ผลิตกาแฟที่มีรสชาติดีที่สุดในที่ราบสูงภาคตะวันตกของประเทศเช่นเดียวกับกาแฟม็อกค่า ซึ่งมาจากชื่อเมืองท่า Mocca Port ของ Pink Sea
 

นอกเหนือไปจากการปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าในภาคใต้ รัฐบาลเวียดนามได้ส่งเสริมอย่างเต็มที่ให้เกษตรกรปลูกกาแฟพันธุ์
อะราบิก้าในตอนเหนือของประเทศด้วย ต้องยอมรับว่าประเทศเวียดนามมีสภาพพื้นที่และภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกกาแฟมาก โดยในภาคใต้มี 2 ฤดู คือฤดูแล้ง และฝน เหมาะสำหรับการเพาะปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า ส่วนในภาคเหนือมีภูมิอากาศ 3 แบบ คือ เย็น หนาวเย็น และฝน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟพันธุ์อะราบิก้า

 

    2. นโยบายการส่งเสริมการปลูกกาแฟของรัฐบาลเวียดนามซึ่งดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับการตลาด การให้เกษตรกรมีสิทธิในพื้นที่ที่เพาะปลูกกาแฟ การสนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อการเพาะปลูกได้ถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างชัดเจน มีการจัดการการใช้ที่ดิน (Zoning) ให้ถูกต้องเหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกของพืชแต่ละชนิด การส่งเสริมอนุรักษ์ป่าไม้อย่างจริงจัง การส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน ลดปัญหาความยากจนและความอดอยากของคนในประเทศ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ผลิตและค้าขายในเวียดนาม