หนึ่งอาทิตย์เต็ม
ที่เราไปย่ำชิมกาแฟบ้านลุงโฮ มาเล่าสู่คอกาแฟจากฮานอย -เว้ และ ฮอยอัน
น่าจะเป็นอันครบเครื่องในเรื่องกาแฟ
ปัจจุบัน
เวียดนามเป็นประเทศที่ผลิตกาแฟทุกชนิดส่งออกในตลาดโลกเป็นอันดับสองรองจากประเทศบราซิล
กาแฟถูกนำมาปลูก
ในเวียดนามกว่า 100 ปีมาแล้ว
และเป็นพืชหลักที่ส่งออกมาตั้งแต่ก่อนสงครามเวียดนาม
โดยชาวฝรั่งเศสได้นำเข้ามาปลูกแถบบริเวณ
ที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ เมื่อปี ค.ศ.1857 จนปี ค.ศ.1910-1911
จึงได้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น จนถึง ปี ค.ศ.1975 หรือ พ.ศ.
2518 เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟทั้งประเทศรวมประมาณ 20,000 เฮกตาร์ หรือ
125,000 ไร่ ผลผลิตที่ได้เป็นเมล็ดกาแฟสด ประมาณ 5,000-7,000 ตัน
จวบจนปัจจุบันประเทศเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟรวมทั้งสิ้นประมาณ 500,000
เฮกตาร์ หรือ
3,125,000 ไร่ โดยพันธุ์หลักที่ปลูกคือพันธุ์โรบัสต้า
ซึ่งให้ผลผลิตรวมทั้งสิ้นมากกว่า 700,000 ตัน ต่อปี
จนทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเป็นอันดับหนึ่ง
ของโลก อาจกล่าวได้ว่าในระยะเวลาเพียงแค่ 30 ปี
พื้นที่เพาะปลูกกาแฟของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 25 เท่า และผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง
100 เท่า กาแฟจึงเป็นพืชทองที่สร้างฐานะให้เกษตรกรเวียดนามร่ำรวยอย่างรวดเร็ว
กาแฟพันธุ์โรบัสต้าเป็นกาแฟพันธุ์ที่ปลูกดูแลรักษาง่าย
และให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์อะราบิก้า มีกาเฟอีนสูงกว่าพันธุ์อะราบิก้าถึงสองเท่า
รสชาติเข้มนิยมทำเป็นกาแฟเอสเปสโซ่ กาแฟผงสำเร็จรูปพร้อมดื่ม และขนมหวานต่างๆ
ส่วนกาแฟพันธุ์อราบิก้าจะมีรสชาตินุ่มดีกว่า
นิยมดื่มในรูปของกาแฟสด กาแฟที่บริโภคในโลกมาจากกาแฟสองพันธุ์นี้เท่านั้น
คือร้อยละ 65 เป็นกาแฟพันธุ์อะราบิก้า และร้อยละ 35 เป็นกาแฟพันธุ์โรบัสต้า
ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามพยายามที่จะส่งเสริมให้ปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้าให้มากขึ้นตามความเหมาะสมของพื้นที่
ทั้งนี้เพราะราคาสูงกว่าพันธุ์โรบัสต้า
ทำไม
ประเทศเวียดนามจึงประสบผลสำเร็จ
ในการปลูกกาแฟ เหตุผลสนับสนุนมีด้วยกันหลายประการ คือ
1. มีภูมิอากาศที่เหมาะสม และดินที่ปลูกอุดมสมบูรณ์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518
กาแฟได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้เกษตรกรเพาะปลูกอย่างจริงจังในบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันตก
ตอนกลางของประเทศ บริเวณจังหวัดดัคลัค (Dak Lak) ไคไล (Gia Lai) คอนตุม (KonTum)
และลามดอง (Lam Dong) และบางจังหวัดในภาคใต้ เช่น จังหวัดดองไน (Dong Nai)
บาเรีย หวุงเต่า (Ba Ria-Vung Tau) เบิ่นเฟื้อก (Binh Phuoc)
และจังหวัดอื่นๆ รวมถึงจังหวัดชายฝั่งทะเลตอนกลางของประเทศด้วย
ซึ่งดินมีลักษณะเป็นดินลูกรังสีแดง (basaltic red soil)
ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงและดินชั้นบนมีความหนามาก กาแฟพันธุ์โรบัสต้าจึงเจริญงอกงามได้ดี
และภูมิอากาศเป็นลักษณะอากาศร้อน มีความชื้นสูง
โดยพื้นที่จะตรงกับประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดราชบุรีลงไปทางภาคใต้
และมีฤดูเพียง 2 ฤดู เช่น ภาคใต้ของประเทศไทย คือฤดูแล้งกับฤดูฝน
ฤดูแล้งมีระยะเวลานาน 4-5 เดือน หรือบางปีอาจยาวนานถึง 6 เดือน
เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ซึ่งตรงกับช่วงระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลกาแฟพอดีไปจนถึงเดือนเมษายน
ซึ่งเป็นช่วงที่กาแฟเริ่มออกดอกใหม่
การเก็บเกี่ยวผลกาแฟในช่วงฤดูร้อนนับว่าเป็นโอกาสที่ดีของเกษตรกร
เพราะมีแสงแดดดีเหมาะแก่การตากเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟแห้งเร็ว
มีความเสียหายจากการเน่าหรือถูกเชื้อราทำลายน้อย
เกษตรกรจึงได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องอบเมล็ดกาแฟ
แต่ในขณะเดียวกันการแล้งที่ยาวนานนี้ก็มีผลกระทบต่อการออกดอกและการติดผลของเมล็ดกาแฟเช่นกัน
ซึ่งเป็นผลที่ทำให้ผลผลิตที่ได้มีปริมาณไม่ค่อยสูงนัก
แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เพราะเกษตรกรเวียดนามสามารถนำเอาระบบการให้น้ำมาใช้กับสวนกาแฟเพื่อแก้ปัญหาน้ำไม่เพียงพอในช่วงฤดูแล้งได้
และก็สามารถที่จะควบคุมการออกดอกและติดผลของกาแฟให้ได้ตามที่เกษตรกรต้องการอีกด้วย
ปัจจุบัน
ด้วยการดูแลที่ดีและให้ปุ๋ยอย่างเพียงพอทำให้เกษตรกรเวียดนามได้ผลผลิตเมล็ดกาแฟ
3,000-4,000 กิโลกรัม หรืออาจถึง 5,000 กิโลกรัม ต่อเฮกตาร์ (480-800
กิโลกรัม ต่อไร่) ในบางพื้นที่
ซึ่งจะสังเกตได้ว่าภูมิอากาศบริเวณที่ราบสูงภาคตะวันตกของประเทศเวียดนาม
ที่ปลูกกาแฟมีลักษณะเป็นเนินหุบเขา อยู่เขตร้อนชื้น
ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500-700 เมตร
ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างช่วงเวลากลางวันและกลางคืนมาก
ซึ่งมีผลทำให้ผลผลิตของเมล็ดกาแฟที่ได้มีคุณภาพดีและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
จนได้รับการเรียกขานกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่มีคุณภาพดีว่า "Buon Me Thuot"
ซึ่งหมายถึงชื่อเมืองที่ผลิตกาแฟที่มีรสชาติดีที่สุดในที่ราบสูงภาคตะวันตกของประเทศเช่นเดียวกับกาแฟม็อกค่า
ซึ่งมาจากชื่อเมืองท่า Mocca Port ของ Pink Sea
นอกเหนือไปจากการปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าในภาคใต้
รัฐบาลเวียดนามได้ส่งเสริมอย่างเต็มที่ให้เกษตรกรปลูกกาแฟพันธุ์
อะราบิก้าในตอนเหนือของประเทศด้วย
ต้องยอมรับว่าประเทศเวียดนามมีสภาพพื้นที่และภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกกาแฟมาก
โดยในภาคใต้มี 2 ฤดู คือฤดูแล้ง และฝน เหมาะสำหรับการเพาะปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า
ส่วนในภาคเหนือมีภูมิอากาศ 3 แบบ คือ เย็น หนาวเย็น และฝน
ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟพันธุ์อะราบิก้า
2.
นโยบายการส่งเสริมการปลูกกาแฟของรัฐบาลเวียดนามซึ่งดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับการตลาด
การให้เกษตรกรมีสิทธิในพื้นที่ที่เพาะปลูกกาแฟ
การสนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อการเพาะปลูกได้ถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างชัดเจน
มีการจัดการการใช้ที่ดิน (Zoning)
ให้ถูกต้องเหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกของพืชแต่ละชนิด
การส่งเสริมอนุรักษ์ป่าไม้อย่างจริงจัง การส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัย
มีที่ทำกิน ลดปัญหาความยากจนและความอดอยากของคนในประเทศ
ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ผลิตและค้าขายในเวียดนาม